วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ประโยค Present Simple Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + Verb 1 (s )
( ประธาน + กริยาช่องที่ 1 ( s ) )
( เมื่อประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 หลังคำกริยาจะต้องเติม s )
ตัวอย่าง :
1.I go to school by car. (ฉันไปโรงเรียนโดยรถยนต์)
2. He walks to school. ( เขาเดินไปโรงเรียน )
3. You play football every day. ( คุณเล่นฟุตบอลทุกวัน )
4. Somsri and Somsak study English every day .( สมศรีและสมศักดิ์เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน )

ประโยค Present Simple Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Present Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้ Verb to do มาช่วย มีหลักการใช้ดังนี้

do ใช้กับประธานพหูพจน์ และ I กับ you
does ใช้กับประธานเอกพจน์ ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง : Subject + do / does + not + Verb 1
( ประธาน + do / does + not + กริยาช่องที่ 1 )

ตัวอย่าง :
1. I do not ( don’t ) go to school by car. ( ฉันไม่ไปโรงเรียนโดยรถยนต์ )
2. He does not ( doesn’t ) walk to school. ( เขาไม่เดินไปโรงเรียน )
3. You do not play football every day. ( คุณไม่เล่นฟุตบอลทุกวัน )
4. Somsri and Somsak do not study English every day .( สมศรีและสมศักดิ์ไม่เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน )

*ข้อสังเกต : เมื่อนำ does มาช่วยในประโยคแล้ว ต้องตัด s ออกด้วย

ประโยค Present Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Present Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม ทำได้ด้วยการนำ do หรือ does มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง : Do / Does + Subject + Verb 1 ?
( Do / Does + ประธาน + กริยาช่องที่ 1 )

ตัวอย่าง :
1. Does he walk to school ? (เขาเดินไปโรงเรียนใช่หรือไม่ )
-Yes, he does. ( ใช่ เขาเดินไปโรงเรียน )
-No, he doesn’t. ( ไม่ใช่ เขาไม่ได้เดินไปโรงเรียน )
2. Do you play football every day ? ( คุณเล่นฟุตบอลทุกวันใช่หรือไม่ )
-Yes, I do. ( ใช่ ฉันเล่นฟุตบอลทุกวัน )
-No, I don’t. ( ไม่ใช่ ฉันไม่ได้เล่นฟุตบอลทุกวัน )

หลักการใช้ Present Simple Tense
1.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นความจริงตลอดไปหรือเป็นความจริงตามธรรมชาติ เช่น

The sun rises in the east.( พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก )
Fire is hot. ( ไฟร้อน )

2. ใช้กับการกระทำที่กระทำอยู่จนเป็นนิสัย มักจะมีกลุ่มคำที่มีความหมายว่า เสมอๆ บ่อยๆ ทุกๆ อยู่ด้วย เช่น

I get up at six o’clock every day. ( ฉันตื่นนอนเวลา 6 นาฬิกาทุกวัน )
He plays football every day. ( เขาเล่นฟุตบอลทุกวัน )

หลักการเติม s ที่คำกริยา
1.กริยาที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, o, หรือ x ให้เติม e ก่อนแล้วจึงเติม s เช่น

pass - passes = ผ่าน
brush - brushes = แปรงฟัน
catch - catches = จับ
go - goes = ไป
box - boxes = ชก

2.กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น ie แล้วจึงเติม s เช่น

cry - cries = ร้องไห้
fry - fries = ทอด
try - tries = พยายาม
*ข้อยกเว้น ถ้ากริยานั้นหน้า y เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย เช่น
play - plays = เล่น
stay - stays = พัก

3. กริยาที่นอกเหนือจากที่กล่าวในข้อ 1 และ ข้อ 2 ให้เติม s ได้เลย

Tense

ความหมายของ Tense
Tense คือ รูปของคำกริยาที่บอกเวลาของการกระทำ ในภาษาอังกฤษการกระทำที่เกิดขึเวลาที่แตกต่างกันจะใช้รูปของคำกริยาที่แตกต่างกัน เช่น

1. I am playing football now. ( ฉันกำลังเล่นฟุตบอล )

2. I played football yesterday. ( ฉันเล่นฟุตบอลเมื่อวานนี้ )

*ในประโยคที่ 1 รูปของคำกริยาคือ am playing บอกให้รู้ว่าการเล่นฟุตบอลกำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดประโยคนี้ออกมา
*ในประโยคที่ 2 รูปของคำกริยาคือ played บอกให้รู้ว่าการเล่นฟุตบอลเกิดขึ้นเมื่อวานนี้


ชนิดของ Tense
Tense แบ่งออกเป็น 3 ชนิดใหญ่ คือ

1. Present Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นปัจจุบัน
2. Past Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นอดีต
3. Future Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นอนาคต
*แต่ละ Tense ใหญ่แบ่งออกเป็น 4 Tense ย่อย จึงมีทั้งหมด 12 Tense ดังนี้
Present Tense
- Present Simple Tense
- Present Progressive Tense
- Present Perfect Tense
- Present Perfect Progressive Tense
Past Tense
- Past Simple Tense
- Past Progressive Tense
- Past Perfect Tense
- Past Perfect Progressive Tense
Future Tense
- Future Simple Tense
- Future Progressive Tense
- Future Perfect Tense
- Future Perfect Progressive Tense