วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Article

Article

Article คือ คำที่ใช้นำหน้านาม หมายความว่า คำนามในภาษาอังกฤษทุกตัว เวลาพูดหรือเขียนต้องมีคำ article นำหน้า
ทั้งนั้น (ยกเว้นนามบางชนิด ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป) article แบ่งออกเป้น 2 ชนิดคือ
1. Indefinite Article คือ article ที่นำหน้านามแล้ว ทำให้นามนั้นมีความหมายทั่วไปได้แก่ A,An
2. Definite Article คือ article ที่นำหน้านามแล้ว ทำให้นามนั้นมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่ The


หลักทั่วไปของการใช้ a ข้อยกเว้น ห้ามใช้ a นำหน้า
A ใช้นำหน้านามใด นามนั้นต้องมีลักษณะครบ 4 ประการ คือ
(1) เป็นนามเอกพจน์
(2) เป็นนามนับได้
(3) เป็นนามที่ขึ้นด้วยพยัญชนะ
(4) เป็นนามที่มีความหมายทั่วไป เช่น
a book, a man, a bus, a house, a pen เป็นต้น

หลักทั่วไปของการใช้ an
An ใช้นำหน้านามใด นามนั้นต้องมีลักษณะครบ 4 ประการ คือ
(1) เป็นนามเอกพจน์
(2) เป็นนามนับได้
(3) เป็นนามที่ขึ้นด้วยสระ 5 ตัว คือ a,e,i,o,u
(4) เป็นนามที่มีความหมายทั่วไป เช่น
an apple.an elephant, an orange, an umbrella เป็นต้น

หลักทั่วไปการใช้ the

The ใช้นำหน้านามได้ทุกชนิดและทุกประเภท นั่นคือ
1. เป็นนามเอกพจน์ก็ใช้ The นำหน้าได้
2. เป็นนามพหูพจน์ก็ใช้ the นำหน้าได้
3. เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยสระก็ใช้ The นำหน้าได้ แต่ให้อ่านว่า ดิ
4. เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะก็ใช้ The นำหน้าได้
5. เป็นนามที่นับได้ก็ใช้ The นำหน้าได้
6. เป็นนามที่นับไม่ได้ก็ใช้ The นำหน้าได้
7. แต่นามทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เมื่อใช้ The นำหน้าแล้ว จะต้องมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจง หากไม่เจาะจงห้ามใช้ the
The orahe from Bangmod is sweet. ส้มที่มาจากบางมดเป็นส้มหวาน
ใช้ The นำหน้า orange ได้ เพราะเจาะจงส้มที่มาจากบางมดเป็นส้มหวาน
The children is this room like to dance. เด็ก ๆ ที่อยู่ในห้องนี้ชอบเต้นรำ
ใช้ The นำหน้า children ได้ เพราะเจาะจงเด็กที่อยู่ในห้องนี้เท่านั้นชอบการเต้นรำ เด็กที่อยู่ห้องอื่นไม่เกี่ยวข้องด้วย
ดังนั้นจึงใช้ the นำหน้า children ได้
The water in the bottle is very cold. น้ำที่อยู่ในขวดนี้เย็นมาก
ใช้ The นำหน้า water ได้ เพราะเจาะจงลงไปว่า น้ำที่อยู่ในขวดนี้เท่านั้นเป็นน้ำเย็นฉ่ำน่าดื่มน่าฉันมิได้หมายถึงน้ำทั่วไปว่า
เป็นน้ำเย็น ดังนั้นจึงใช้ The นำหน้า water ได้
The farmers in Thailand are very poor. ชาวนาในประเทศไทยยากจนมาก
ใช้ The นำหน้า farmers ได้ เพราะมีการชี้ลงไปว่า ชาวนาที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้นเป็นคนยากจน มิได้หมายถึง
ชาวนาที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ เป็นต้น


สำนวนต่อไปนี้ ให้ใช้ a,an นำหน้าตลอดไป
1.สำนวนเกี่ยวกับการใช้นับจำนวน ให้ใช้ a,an นำหน้าเช่น :-
a dozen หนึ่งโหล
half a dozen ครึ่งโหล
a hundred หนึ่งร้อย
a thousand หนึ่งพัน
a million หนึ่งล้าน
a lot of จำนวนมาก
a great deal of จำนวนมาก
a large number of จำนวนมาก


2. สำนวนเกี่ยวกับราคา อัตราส่วน ความเร็ว ใช้ a,an นำหน้า เช่น:-
a shilling a dozen โหลละ 1 ชิลลิ่ง
sixty miles an hour 60 ไมล์ต่อหนึ่งชั่วโมง
ten kilometres an hour 10 กม. ต่อหนึ่งชั่วโมง
four times a day วันละ 4 ชั่วโมง


3. สำนวนเกี่ยวกับประโยคอุทานใช้ a นำหน้า เฉพาะที่เป็นนามเอกพจน์และนับได้เช่น:-
What a hot day it is! วันนี้ร้อนอะไรอย่างนี้
What a pretty girl she is! หล่อนเป็นเด็กหญิงที่สวยอะไรอย่างนี้

4. คำนามที่ตามหลัง quite, hardly, scarcely, rathert, ต้องใช้ a,an นำหน้าตลอดไป เช่น:-
He is quite a fool. เขาเป็นคนโง่ทีเดียว

There is hardly a second to lose. อย่าให้พลาดทีเดียวนะ (ไม่มีเวลาอีกแล้ว)
There is scarcely a pinch left. แทบจะไม่มีเวลาเหลือเลย
He is rather a lazy man. เขาเป็นคนค่อนข้างขี้เกียจ

5. นามเอกพจน์ที่นับได้ นำมาใช้ตามหลัง many ในกรณีที่ให้หมายถึง "มาก" นั้นต้องใช้ a,an นำหน้าเช่น :-
Many a boy has lost his life in that way. เด็กจำนวนมากเสียชีวิตเพราะเหตุนั้น
หมายเหตุ แต่ถ้าเป็นนามพหูพจน์ นำมาใช้ตามหลัง many นามตัวนั้นไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น:-
Many students must be able to speak English. นักศึกษาจำนวนมากจะต้องมีความสามารถพูดภาษาอังกฤษได้

6. นามเอกพจน์ที่นับได้ นำมาใช้ตามหลัก such ต้องใช้ a,an นำหน้าเช่น:-
I have never seen such a tall man in my life. ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นคนสูงอย่างนี้เลยในชีวติ
หมายเหตุ แต่ถ้าเป็นนามที่นับไม่ได้ก็ดี นามพหูพจน์ก็ดี ตามหลัง such ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น:-
She doesn't want to drink such hot water. หล่อนไม่ต้องการดื่มน้ำร้อนอย่างนี้เลย
I would like to make friendship whit such honest people. ฉันอยากจะทำความเป็นมิตรกับคนที่มีความซื่อสัตย์อย่างนี้

7. สำนวนที่เกี่ยวกับความไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องใช้ a,an นำหน้าเช่น:-
have a cold เป็นไข้หวัด
have a pain ได้รับความบาดเจ็บ
have a cough เป็นไอ
have a headache ปวดศรีษะ

have a toothache ปวดฟัน
have an earache ปวดหู,เจ็บหู
หมายเหตุ แต่ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้ Article นำหน้าได้แก่
have influenza ไข้หวัดใหญ่
have rheumatism เป็นโรคปวดในข้อ




URL:http://www.geocities.com/tumenglish/article.html

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Passive Voice

หลักการเปลี่ยน Active เป็น Passive

Active Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้แสดง หรือเป็นผู้ที่กระทำกริยาตัวนั้น หมายความว่า ในประโยคนั้นเรายกเอาประธานซึ่งเป็นผู้ทำกริยา ขึ้นมากล่าวเป็นจุดสำคัญ
Passive Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำหรือเป็นผู้ได้รับผลจากการกระทำอันนั้น หมายความว่า ในประโยคนั้นเรายกเอาสิ่งที่ถูกเขาทำขึ้นมากล่าวเป็นจุดสำคัญหลักการเปลี่ยน
1. เอา Object ใน Active ไปเป็น Subject ใน Passive
2. ใช้กริยา Verb to be ให้ถูกต้องตามพจน์ และ Tense เดิมของ Active
3. กริยาแท้ต้องใช้ตัวเดิมกับ Active แต่ต้องเป็นช่องที่ 3
4. เอา Subject ในประโยค Active ไปเป็นกรรมตามหลังบุรพบท by แล้วนำไปวางไว้หลังกริยาช่องที่ 3 ในประโยค Passive Voice ตัวอย่างเช่น
-Active : He kicked a football yesterday.
-Passive : A football was kicked by him yesterday.
ประโยคแรก แปลว่า "เขาเตะฟุตบอลเมื่อวานนี้"
ประโยคสอง แปลว่า "ฟุตบอลถูกเตะโดยเขาเมื่อวานนี้

โครงสร้างของประโยค Passive ทั้ง 12 Tenses<สำคัญมาก>

1.Present Simple = S. + is , am , are + V.3 + by.....

2.Present Continuous = S. + is , am , are + being + V.3 + by....

3.Present Perfect = S. + has been , have been + V.3 + by....

4.Present Per. Conti. = S. + has been , have been + being + V.3 + by....

5.Past Simple = S. + was , were + v.3 + by....

6.Past Continuous = S. + was being , were being + v.3 + by....

7.Past Perfect = S. + had been + v.3 + by....

8.Past Per. Conti. = S. + had been being + v.3 + by....

9.Future Simple = S. + well be , shall be + v.3 + by....

10.Future Continuous = S. + will be , shall be + being + v.3 + by....

11.Future Perfect = S. + will have , shall have + been + v.3 + by....

12.Future Per. Conti. = S.+ will have been being,shall have been being+v.3+by....

*เมื่อประโยค Active Voiceมี Object 2 ตัว ก่อนอื่นจะต้องรู้ก่อนว่า Object (กรรม) 2 ตัวนั้นคืออะไรบ้าง ได้แก่
1. Direct Object (กรรมตรง คือ สิ่งของ)
2. Indirect Object (กรรมรอง คือ บุคคล)
ถ้าประโยค Active Voice นั้นมี กรรมตรงและกรรมรองมาอยู่ด้วยกันทั้ง 2 ประโยคเดียวเช่นนี้ เวลาเปลี่ยนเป็น Passive นิยมเอา กรรมรองคือบุคคล ไปเป็นประธานในประโยคPassive มากกว่ากรรมตรง อย่างไรก็ตาม จะเอากรรมตรงขึ้นไปเป็นประธานก็ได้แต่ต้องใส่ to ข้างหน้ากรรมรองคือบุคคลนั้นทุกครั้ง ต่อไปนี้จะได้ยกตัวอย่างให้ดูทั้งแบบกรรมรองและกรรมตรงขึ้นไปเป็นหระธานในประโยค Passive สังเกตวิธีการเปลี่ยนให้ดีดังนี้
-Active : The teacher gave me a book yesterday.
-Passive : I was given a book by the teacher yesterday. (กรรมรอง)
-Passive : A book was given to me by the teacher yesterday. (กรรมตรง)
คำแปล คุณครูให้หนังสือเล่มหนึ่ง แก่ฉันเมื่อวานนี้
ฉันถูกให้หนังสือเล่ามหนึ่งโดยคุณครูเมื่อวานนี้
หนังสือเล่มหนึ่งถูกให้แก่ฉันโดยคุณครูเมื่อวานนี้

**เราไม่จำเป็นต้องนำตัวประธานในประโยค Active นั้นไปเป็นกรรมตามหลัง "by" ในประโยคPassive เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานในประโยค Active เป็นคำต่อไปนี้ ยิ่งไม่นิยมนำไปเป็นกรรม ซึ่งทั้งนี้มักจะละผู้กระทำไว้ในฐานที่เข้าใจกัน หมายความว่าไม่ต้องนำเอาคำที่เป็นประธานจำพวกนี้ไปเป็นกรรมตามหลัง by ในประโยค Passive เช่น
-Active : Smeone gave a beggar some money.
มีคนให้เงินแก่คนขอทาน
-Passive: A beggar was given some money. (no "by someon")
ขอทานถูกให้เงิน (ไม่ต้องใส่ by someone เข้ามา)

-Active : No one likes this picture.
ไม่มีใครชอบภาพนี้
-Passive: This picture isn't liked. (no "by no one")
ภาพนี้ไม่มีใครชอบ (หรือไม่ถูกชอบโดยใครทั้งนั้น) เป็นต้น

-Passive: Let the window be opened.
ให้หน้าต่างถูกเปิดด้วย

-Active: Read the book now.
จงอ่านหนังสือเดี๋ยวนี้
-Passive: Let the book be read now.
ให้หนังสือถูกอ่านเดี๋ยวนี้

-Active: Do the exercises.
ทำแบบฝึกหัดเสีย
-Passive: Let the exercise be done.
ให้แบบฝึกหัดถูกทำเสีย

***อย่างไรก็ตาม ประโยคคำสั่งที่เป็น Passive Voice นั้นสำนวนภาษาไทยเราไม่นิยมพูดกันเพราะฉะนั้นที่ได้แปลไว้นั้น อาจฟังดูแล้วพิลึก ยังกับคนพูดภาษาไทยไม่เป็น แต่ภาษาอังกฤษนั้นเขาพูดกันได้ประโยคเช่นนี้ และนิยมพูดกันบ่อยเสียด้วยก่อนจบเรื่องนี้ ขออธิยายข้อสรุปด้วยความหวังดีดังนี้

1. ประโยค Passive Voice ต้องมี Verb to be อยู่หน้ากริยาช่อง 3
2. ประโยค Active Voice ที่ไม่มีกรรม (Object) ห้ามนำมาแต่งเป็น Passive Voiceโดยเด็ดขาด
3. การนำเอา Subject ในประโยค Active มาเรียงตามหลัง by ในประโยค Passive นั้นถ้าผู้พูดไม่แน่ใจว่า ผู้ฟังจะเข้าใจว่า สิ่งนั้น ๆ ถูกใครหรืออะไรทำเช่นนี้ จะใส่ by เข้ามาทุกครั้งที่พูดก็ได้ แต่ถ้ามั่นใจว่า ผู้ฟังเข้าใจดีว่า สิ่งนั้นถูกอะไรหรือใครทำเช่นนี้ จะไม่ใส่เข้ามาทุกครั้งที่พูดก็ได้ หวังว่าคงเข้าใจ

แบบฝึกหัด ก
จงเปลี่ยนประโยค Active Voice ต่อไปนี้ให้เป็น Passive Voice
1. I read a book every day.
2. He will write his letter in the eveniing.
3. Dak has opened the door.
4. They are playing football now.
5. She was cleaning a chair.
6. You had sent a parcel.
7. The horse kicked the naughty boy.
8. I ordered to do this.
9. We speak English every day.
10. Amnat likes coffee and tea.

แบบฝึกหัด ข
1. Sak washes his hands in the bathing place.
2. I am drinking whisky now.
3. Someone likes this picture.
4. She has sent me a letter.
5. People give hom a coconut.
6. We like an american song very much.
7. Someone sent me a letter yesterday.
8. The boys play football in the field near their school.
9. They finish their work at five o'clock.
10. Nobody writes a letter to me.

เฉลยแบบฝึกหัด ก
1. A book is read by me every day.
2. His letter will be writtten by him in the evening.
3. The door has been opened by Sak.
4. Football is being played by them now.
5. A chair was being cleaned by her.
6. A parcel had been seen by you.
7. The naughty boy was kicked by the hourse.
8. This was ordered to be done by me.
9. English is spoken by us every day.
10. Coffee and tea are liked by amnat.

เฉลยแบบฝึกหัด ข
1. His hands are washed by sak in the bathing place.
2. Whisky is being drunk by me now.
3. This picture is liked (by someone).
4. I was sent a letter by her.
5. He is given a coconut.
6. American song is liked very much.
7. I was sent a letter yesterday.
8. Football is played by the boys in the field near their school.
9. Their work is finished at five o'clock..
10. A letter isn't written to me.

URL:http://www.geocities.com/tumenglish/active_voice.html

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

Adverb

Adverb คือ คำที่ใช้ทำหน้าที่ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์ หรือขยาย Adverb ด้วยกันเองก็ได้ยกตัวอย่างต่อไปนี้

ขยายกิรยาเรียงไว้หลังกริยา
-The old woman walks slowly. หญิงชราคนนั้นเดินอย่างช้าๆ
(slowly เป็น Adverb เรียงไว้หลังหริยา walks)
ขยายคุณศัพท์เรียงไว้หน้าคุณศัพท์
-Saensak is very strong. แสนศักดิ์เป็นคนแข็งแรงมาก
(very เป็น Adverb เรียงไว้หน้าคุณศัพท์ strong)
ขยายกิรยาวิเศษณ์เรียงไว้หน้ากริยาวิเศษณ์
-The train runs very fast. รถไฟวิ่งเร็วมาก
(very เป็น Adverb จึงเรียงไว้หน้า Adverb "fast")

ชนิดของ Averb แบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ ๆ ได้ 3 หมวด คือ
1. Simple Adverb = กริยาวิเศษณ์สามัญ
2. Interrogative Adverb = กริยาวิเศษณ์คำถาม
3. Conjunctive Adverb = กริยาวิเศษณ์สันธาน

-Simple Adverb คือ กริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์และขยายกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเองก็ได้ตามธรรมดานี้เอง simple adverb แบ่งเป็นหมวดเล็ก ๆ ได้ 6 หมวด คือ
1) Adverb of Time คือ กริยาวเศษณ์บอกเวลา ได้แก่คำว่าnow,ago,then,already,soon.late.before.after.since.yesterday.tomorrow.today, every day.
every week.etc. เช่น
-I must go now.ฉันจะต้องไปเดี๋ยวนี้
-Somsri bouhgt a book yesterday.สมศรีซื้อหนังสือเล่มหนึ่งเมื่อวานนี้

2) Adverb of Place คือ กริยาวิเศษณ์บอกสถานทได้แก่คำว่าnear,far,in,out,here,there,inside,outside,outside,etc, เช่น
-He goes there twice a day.เขาไปที่นั้นวันละ 2 ครั้ง
-We have to stay here today.พวกเราจะต้องพักอยู่ที่นี่วันนี้

3) Adverb of Frequency คือ กริยาวิเศษณ์บอกความสม่ำเสมอ ได้แก่คำว่าalways,often,seldom,hardly,once,twice,again,sometimes,usually,rarely,frequently.lately.etc. เช่น
-He always goes to the cinema after school.เขาไปดูหนังเสมอ ๆ หลังจากเลิกโรงเรียนแล้ว


4) Adverb of Manner คือ กริยาวิเศษณ์บอกกริยาอาการ ได้แก่คำว่าwell,sowly,quickly,fast,probably,certainly,etc. เช่น
-He speaks Thai well.เขาพูดไทยได้ดีมาก
-Why do you walk so quickly?ทำไมคุณจึงเดินเร็วนัก?

5) Adverb of Quantity คือ กริยาวิเศษณ์บอกปรมาณมากน้อย ได้แก่คำว่าmany.much.very.too.quite.rather.etc, เช่น
-This question is very easy.คำถามนี้ง่ายมาก
-She loves me very much. หล่อนรักผมมาก

6) Adverb of Affirmation or Negation คือ กริยาวิเศษณ์บอกการรับหรือปฏิเสธ ได้แก่คำว่า yes,no,not,not at all เช่น
-Do you understand me? คุณเข้าใจผมไหม?
-Yes, I do.ครับ, ผมเข้าใจ

-Interrogative Adverb คือ กริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกริยาเพื่อให้เป็นคำถาม ซึ่งบางคำก็เป็นคำ ๆ เดียว บางคำก็เป็นคำผสม กริยาวิเศษณ์คำถามเวลาพูดหรือเขียนต้องวางไว้ต้นประโยคเสมอ แบ่งออกเป็นหมวดเล็ก ๆ ได้ 6 หมวด คือ

1) บอกเวลา (Time) ได้แก่คำว่า When (เมื่อไร) How long (นานเท่าไร) เช่น
-When will he come here again?เมื่อไหร่เขาจะมาที่นี่อีก?
-Next Year.ปีหน้า

-How long have you been here? คุณได้มาอยู่ที่นี่นานเท่าไรแล้ว?
-For five years.เป็นเวลา 5 ปีแล้ว

2) บอกสถานที่ (Place) ได้แก่คำว่า When (ที่ไหน) เช่น
-Where does he live? เขาอยู่ที่ไหน?

-He lives in Bangkok.เขาอยู่ในกรุงเทพฯ

3) บอกจำนวน (Number ได้แก่คำว่า How many (มากเท่าไร) How ofter(กี่ครั้ง) เช่น
-How often does she come here? หล่อนมาที่นี่บ่อยไหม? (หมายถึงกี่ครั้งนั่นแหละ)
-How many books has he? Ten. เขามีหนังสือมากเท่าไร? 10 เล่ม

4) บอกกริยาอาการ (Manner) ได้แก่คำว่า How (อย่างไร) เช่น
-How do you do this? คุณทำสิ่งนี้ได้อย่างไร
-How does she come here? หล่อนมาที่นี่ได้อย่างไร เป็นต้น

5) บอกปริมาณ (Puantity) ได้แก่คำว่า How much (มากเท่าไร) เช่น
-How much do you pay? คุณจ่ายมากเท่าไร
-How much is it? ราคาเท่าไร?


6) บอกเหตุผล (Reason) ได้แก่คำว่า Why (ทำไม) เช่น
-Why do they go to Hong Kong every day? ทำไมพวกเขาจึงไปฮ่องกงทุก ๆ วัน?
-Why doesn't she love you? ทำไมหล่อนจึงไม่รักคุณ?


Conjunctive Adverb คือ กริยาวิเศษณ์ที่ใช้เป็นคำเชื่อม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่ากริยาวิเศษณ์ตัวนี้จะทำหน้าที่เชื่อมตัวนี้จะทำหน้าที่เชื่อมประโยคหน้าและประโยคหลัง ให้สัมพันธ์กัน ได้แก่คำว่า why,where, when,how,whenever,while,as,wherever,etc. นั่นเอง
สรุปแล้ว comjunctive adverb นี้ก็ทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ เป็นทั้งกริยาวิเศษณ์และสันธานไปพร้อมกัน เช่น
-I know what you did yesterday. ผมรู้ว่า คุณทำอะไรเมื่อวานนี้
(what เป็น conjunctive adverb)
-He knows how I go there. เขารู้ว่าผมไปที่นั่นได้อย่างไร
(how เป็น conjunctive adverb)
-Do as I told you. จงทำตามที่ผมบอกคุณนั่นแหละ
(As เป็น conjunctive adverb)
-He will go wherever she goes. เขาจะไปที่ไหนก็ได้ที่หล่อนไป
(wherever เป็น conjunctive adverb)
-My aunt likes to visit me whenever I am at home. ป้าของผมไปเยี่ยมผมอยู่บ้าน
(whenever เป็น conjunctive adverb)


แบบฝึกหัด
จงเติมคำ Adjective หรือ Adverb ที่เห็นว่าถูกต้งที่สุดลงในช่องว่าง
1. The weather is..................cold today.(many,much,ver,top)
2. She is..................old to work with me.(very,much,little,too)
3. He writes his name..................(well,bad,quick,slow)
4. Don't go to school..................(lately,late,soon)
5. My family lived with each other..................(happy,happily,happiness)
6. It is raining..................to go out. (hardly,hard,hardness)
7. Your answer is very..................(correctly,correct)
8. I..................get up at six o'clock. (usual,usually)
9. The Thai soldiers fought with the Burmese..................(brave,bravely)
10. I..................(hard,hardly)have free time these days.


เฉลยแบบฝึกหัด
1. very
2. too
3. well
4. late
5. happily
6. hard
7. correct
8. usually
9. bravely
10. hardly



URL:http://www.geocities.com/tumenglish/adverb.html

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552

Adjective

Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่งเป็น 8 ชนิด คือ

1. Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ
2. Proper Adjective คุณศัพท์บอกชื่อเฉพาะ
3. Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ
4. Numberal Adjective คุณศัพท์บอกจำนวน
5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ชี้เฉพาะ
6. Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ
7. Interrogative Adjective คุณศัพท์คำถาม
8. Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก

1 Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ ได้แก่ คุณศัพท์ที่ใช้แสดงลักษณะหรือคุณภาพของนามต่าง ๆ เพื่อให้รู้ว่า นามนั้นมีลักษณะอย่างไร ได้แก่คำว่า good , gat , bad , tall , short , white , thin , rich , poor , etc. เช่น
The rich man lives in the big house. คนรวยอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่ เป็นต้น

2 Proper Adjective คุณศัพท์บอกชื่อเฉพาะ หรือวิสามัญคุณศัพท์ ได้แก่คุณศัพท์ที่มีรูปมาจากคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะนั่นเอง หรืออาจจะเรียกคุณศัพท์นี้ว่า คุณศัพท์บอกสัญชาติ จะดีกว่า เพราะฟังเข้าใจง่าย ซึ่งมีรูปเปลี่ยนแปลงมาจาก Proper Noun ดังต่อไปนี้
England(proper Noun)
English(proper Adjective)
อังกฤษ
America(proper Noun)
American(proper Adjective)
อเมริกา
Thailand(proper Noun)
Thai (proper Adjective)
ไทย

3 Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ ได้แก่ คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามบอกจำนวนของนามว่า มากหรือน้อย แต่ไม่บ่งชัดลงไปว่ามีจำนวนเท่านั้นเท่านี้ เพียงแต่บอกมาหรือน้อยเท่านั้นเอง ได้แก่คำว่า much,many,little,some, any, all เช่น
He has many friends. เขามีเพื่อนมาก
I have much money. ฉันมีเงินมาก

4 Numberal Adjective คุณศัพท์ที่บอกจำนวน ได้แก่ คุณศัพท์ที่ใช้บอกจำนวนของนามว่า มีเท่านั้นเท่านี้ ได้แก่ one , two , tree , ...... , etc. เช่น
She has two books. หล่อนมีหนังสือ 2 เล่ม
The first girl is tall. เด็กหญิงคนที่หนึ่งเป็นคนสูง

5 Demonstrative Adjective คุณศัพท์ชี้เฉพาะ ได้แก่ คุณศัพท์ที่ใช้ขยายเพื่อชี้เฉพาะเจาะจงว่า เป็นคนนั้นคนนี้ มิได้หมายถึงคนอื่น ได้แก่คำว่า the same, this, that, these, those, such, such a, เช่น
This man is my brother. ชายคนนี้เป็นพี่ชายของฉัน
I never say such things. ฉันไม่เคยพูดเช่นนั้นเลย

6 Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ ได้แก่ คุณศัพท์ที่มีรูปมาจากบุรุษสรรพนามรูปที่ 3 นั่นเอง ฉะนั้นคุณศัพท์จำพวกนี้เวลาพูดหรือเขียนต้องมีนามตามหลังตลอดไปจะใช้แต่มันโดยลำพังไม่ได้ ได้แก่คำว่า my,your,our,his,her,its,their, เช่น
This is my house. นี่คือบ้านของฉัน
Her hands are very clean. มือของเธอสะอาดมาก

7 Interrogative Adjective คุณศัพท์คำถาม ได้แก่ คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคำถาม ฉะนั้นจึงต้องใช้นำหน้านามตลอดไป หากไม่มีคำนามตามหลังมันเป็นปฤจฉาสรรพนามได้แก่คำว่า What,Which,Whose เช่น
Which book do you like? ท่านชอบหนังสือเล่มไหน?
Whose house is that? นั้นคือบ้านของใคร?

8 Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก ได้แก่ คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อแบ่งแยกออกจากกันเป็นรายบุคคลหรือรายสิ่ง ตามที่ผู้พูดต้องการ ได้แก่คำว่า each (แต่ละ) either (อันใดอันหนึ่ง) neither (ไม่ทั้งสอง) every (ทุกๆ)อนึ่งให้สังเกตไว้ด้วยว่านามที่มีวิภาคคุณศัพท์ตามข้อ 8 นี้วางอยู่ข้างหน้านามตัวนั้น ต้องเป็นเอกพจน์ตลอดไป เช่น
Each student is writing his name. นักศึกษาแต่ละคนกำลังเขียนชื่อของเขา
Neither school is close to my house. ไม่มีโรงเรียนใดตั้งอยู่ใกล้บ้านฉันเลย

แบบฝึกหัด
จงบอก Adjective ที่พิมพ์ด้วยอักษรตัวดำนั้นว่าเป็น Adjective ชนิดไหน?
1. He is reading an English newspaper in his room.
2. Some people have much money but never happy.
3. This car was bought from japan last month.
4. Six boys are playing football in the field.
5. They love their teacher very much.
6. Which pencil do you like best?
7. I like to read the Thai literature every day.
8. Either bank is flooded.
9. Every girl has her lunch at school.
10. She has many friends in America.
11. Ladda doesn't like these mangoes.

เฉลยแบบฝึกหัด
1. English เป็น Adjective บอกสัญชาติ (Proper Adj.)
2. some เป็น Adjective บอกปริมาณ (Quantitative Adj.)
-happy เป็น Adjective บอกลักษณะ (Descriptive Adj.)
3. this เป็น Adjective บ่งความชี้เฉพาะ (Demonstrative Adj.)
4. six เป็น Adjective บอกจำนวน (numberal Adj.)
5. their เป็น Adjective บอกเจ้าของ (possessive Adj.)
6. wjocj เป็น Adjective บอกคำถาม (interrogative Adj.)
7. Thai เป็น Adjective บอกสัญชาติ (proper Adj.)
8. either เป็น Adjective บอกการแบ่งแยก (distributive Adj.)
9. every เป็น Adjective บอกการแบ่งแยก (distributive Adj.)
10. many เป็น Adjective บอกปริมาณ (quantitative Adj.)
11. These เป็น Adjective บ่งความชี้เฉพาะ (demonstrative Adj.)


URL:http://www.geocities.com/tumenglish/adjective.html

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

Conjunction คำสันธาน

Conjunction คือ คำที่ใช้เชื่อมระหว่างประโยคต่อประโยค คำต่อคำ หรือระหว่างกริยาต่อกริยา เช่น

-ประโยคต่อประโยค
I study English, but he studies French.
ฉันเรียนภาษาอังกฤษ แต่เขาเรียนภาษาฝรั่งเศส

-คำนามต่อนาม
A boy and a girl are dancing.
เด็กชายและเด็กหญิงกำลังเต้นรำ

-กริยาต่อกริยา
He comes and stays with me at home.
เขามาพักอยู่กับฉันที่บ้าน เป็นต้น

Conjunction แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
1. Conjunction คำเดียว (Single Conjuncton)
2. Conjunction วลีหรือผสม (Conjunction Phrase)

1. Conjunction คำเดียวที่พบเห็นบ่อย ๆ และใช้กันแพร่หลายมีดังต่อไปนี้
and,or,but,so,as,because,for,whether,until,after,before,if,though,that,when, besides เช่น

He is sick so he goes to see a doctor.
เขาไม่สบาย ดังนั้นเขาจึงไปหาหมอ ฯลฯ เป็นต้น

2. Conjunction วลีหรือ conjunction ผสมที่พบเห็นบ่อย ๆ ได้แก่คำต่อไปนี้ คือ
either.....or ไม่อันใดก็อันหนึ่ง
neither.....nor ไม่ทั้งสอง
as well as เช่นเดียวกันกับ
not only.....but also ไม่เพียงแต่.....เท่านั้น
-แต่อีกด้วย ทั้งหมดจะได้อธิบายเป็นรายตัว ดังต่อไปนี้

Either...or แปลว่า ไม่อันใดก็อันหนึ่ง ใช้สำหรับให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปควบประธาน 2 ตัว จะใช้
กริยาเป็นรูป เอกพจน์หรือพหูพจน์นั้นต้องถือตามประธานตัวหลัง เช่น
Either you or he is punished tonight. ไม่คุณก็เขาถูกลงโทษคืนนี้
Either he or I am mistaken. ไม่เขาก็ผมเป็นผู้ผิด เป็นต้น

Neither...nor แปลว่า "ไม่ทั้งสอง" ใช้สำหรับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ถ้าไปควบประธาน 2 ตัว จะใช้กริยาเอกพจน์หรือ
พหูพจน์นั้น ต้องถือตามประธานตัวหลังเช่นเดียวกัน เช่น
Neither her friends nor she speaks Chinese. ทั้งเพื่อนของเธอและเธอไม่พูดภาษาจีน
Neither you nor he studies mathematics. ทั้งคุณและเขาไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์ เป็นต้น

as well as แปลว่า "เช่นเดียวกันกับ" เมื่อไปควบประธาน 2 ตัว จะใช้กริยาเป็นพจน์อะไรนั้นสำหรับตัวนี้ต้องถือเอาตาม ประธานที่อยู่ข้างหน้า เช่น
Manop as well as his friends is playing football. มานพก็เช่นเดียวกันกับเพื่อนของเขากำลังเล่นฟุตบอล
He as well as I is sick. เขาก็เช่นเดียวกันกับผมไม่สบาย เป็นต้น

Not only...but also แปลว่า "ไม่เพียงแต่...เท่านั้น แต่ยัง อีกด้วย" เราใช้สันธานวลีคำนี้ เพื่อเน้นน้ำหนักของข้อความ
ทั้งสองอย่างให้เด่นชัดขึ้นแต่สิ่งที่นำมาให้ ใช้หรือกล่าวถึงนั้น ต้องมีความสามารถไปทางเดียวกัน เช่น ดีก็ดีด้วยกัน เช่น
Malisa is not beautiful but also clever. มาลิสาไม่เพียงแต่สวยเท่านั้น แต่ยังฉลาดอีกด้วย
Wichai is not only stupid but also lazy. วิชัยไม่ใช่เพียงแต่โง่เท่านั้น แต่ยังขี้เกียจอีกด้วย

***not only.......but also "อนึ่งถ้า" ไปใช้เชื่อมประธาน 2 ตัว จะใช้กริยาเป็นพจน์อะไรนั้นต้องถือตามประธานตัวหลัง
Not only your friends but also your sister wants to see the cinema tonight.
ไม่เพียงแต่เพื่อนของท่านเท่านั้น แต่น้องสาวของท่านด้วยที่ต้องการไปดูหนังคืนนี้
Not only I but also my friends are studying English every day.
ไม่เพียงแต่ผมเท่านั้น แต่เพื่อนของผมอีกด้วยที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษทุก ๆ วัน


แบบฝึกหัด
จงเติม conjunction ที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดลงในช่องว่างต่อไปนี้ คำที่กำหนดให้เติมได้แก่ : and, or, but, as, because
so, until, either...or, neither...nor, as well as, not noly...but also

1. .............. he or you are to go to see the lawyer this evening.
2. A boy.............. a girl are learning English now.
3. Suchat is..............clever.............. diligent.
4. She is ill..............she goes to hospital.
5. They nust wait..............their parents return here.
6. Prachuab..............his friends is doing his exercises.
7. Although he is a fool..............he is honest to everybody.
8. He is punished..............he was absent for school yesterday.
9. ..............Sak..............his relatives are working in the field.
10. Rice.............. curry is very nice food for Thais.
11. We like him..............he is honest.
12. You..............I are a student of English.
13. Suphat is..............writing.............. speaking.
14. Danai doesn't do his homework..............he is very lazy.
15. She her nother goes to the temple on Sundays.



เฉลยแบบฝึกหัด
1. either
2. and
3. not only...but also
4. so
5. until
6. as well as
7. but
8. because
9. either...or
10. and
11. because
12. and
13. not only...but also
14. because
15. as well as




URL : http://www.geocities.com/tumenglish/conjuction.html

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552

Present Future Tense

ประโยค Future Simple Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง :
Subject + will, shall + verb 1
( ประธาน + will , shall + กริยาช่อง 1 )

ตัวอย่าง :
1. I shall go to Chiang mai tomorrow. ( ฉันจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ )
2. She will study Spanish next week. ( หล่อนจะเรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้า )


ประโยค Future Simple Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง :
Subject + will, shall + not + verb 1
( ประธาน + will , shall + not + กริยาช่อง 1 )
ตัวอย่าง :

1. I shall not ( shan’t ) go to Chiang mai tomorrow. ( ฉันจะไม่ไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ )
2. She will not ( won’t ) study Spanish next week. ( หล่อนจะไม่เรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้า )


ประโยค Future Simple Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ

มื่อต้องการแต่งประโยค Future Simple Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง :
Will,Shall + Subject + verb 1 ?
( Will, Shall + ประธาน + กริยาช่อง 1 ? )

ตัวอย่าง :
1. Shall you go to Chiang mai tomorrow ? ( คุณจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่ )
Yes, I shall. ( ใช่ฉันจะไป )
No, I shan’t. ( ไม่ฉันจะไม่ไป )
2. Will she study Spanish next week ? ( หล่อนจะเรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้าใช่หรือไม่ )
- Yes, she will. ( ใช่หล่อนจะเรียน )
- No, she won’t. ( ไม่หล่อนจะไม่เรียน )


หลักการใช้ Future Simple Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เช่น My father will go to America next month. ( พ่อของฉันจะไปอเมริกาเดือนหน้า )
I shall play football tomorrow afternoon.( ฉันจะเล่นฟุตบอลบ่ายวันพรุ่งนี้ )


URL : http://www.labschools.net/web/pai/eng/eng_wichai/10.htm

Past Progressive Tense

ประโยค Past Progressive Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง:
Subject + was , were + Verb 1 ing
( ประธาน + was , were + กริยาช่องที่ 1 เติม ing )

ตัวอย่าง :
1. I was playing football at 4 pm. yesterday.
( ฉันกำลังเล่นฟุตบอลตอน 4 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )
2. She was watching TV at 6 pm. yesterday.
( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )
3. They were studying English at 9 am. yesterday.
( เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9 โมงเช้าเมื่อวานนี้ )


ประโยค Past Progressive Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้นำ not
มาเติมหลัง Verb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง:
Subject + was, were + not + Verb1 ing.
( ประธาน + was , were + not + กริยาช่องที่ 1 เติม ing )

ตัวอย่าง :
1. I was not ( wasn’t ) playing football at 4 pm. yesterday.
( ฉันกำลังเล่นฟุตบอลตอน 4 โมงเย็นวานนี้ )
2. She was not watching TV at 6 pm. yesterday.
( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )
3. They were not (weren’t ) studying English at 9 am. yesterday.
( เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9 โมงเช้าเมื่อวานนี้ )


ประโยค Past Progressive Tense เชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to be มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง:
Was , Were + Subject + Verb 1 ing. ?
( Was , Were + ประธาน + กริยาช่อง 1 เติม ing. ? )

ตัวอย่าง :
1. Was she watching TV at 6 pm. yesterday ?
( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นวานนี้ใช่หรือไม่ )
- Yes, she was. ( ใช่หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ )
- No, she wasn’t ( ไม่หล่อนไม่ได้กำลังดูโทรทัศน์ )
2. Were they studying English at 9 am. yesterday ?
(เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9 โมงเช้าวานนี้ใช่หรือไม่ )
- Yes, they were. ( ใช่เขาทั้งหลายกำลังเรียน )
- No, they weren’t. ( ไม่เขาทั้งหลายไม่ได้กำลังเรียน )


หลักการใช้ Past Progressive Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์ทีกำลังเกิดขึ้น ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีตตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น
-1. I was cleaning my room at 9 o’clock yesterday.
( ฉันกำลังทำความสะอาดห้องตอน 9 โมงเมื่อวานนี้ )
-2. They were reading newspaper at 8 o’clock yesterday.
( เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ตอน 8 โมงเมื่อวานนี้ )
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต กล่าวคือ มีเหตุการณ์อันหนึ่งเกิดขึ้นและกำลังดำเนินไปอยู่ก่อนและแล้วมีเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นมา มีหลักการแต่งประโยคดังนี้

เหตุการณ์ที่เกิดอยู่ก่อน ใช้ Past Progressive Tense
เหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Past Simple Tense

เช่น
- 1. While he was walking along the street , he saw an accident.
( ขณะที่เขากำลังเดินไปตามถนนเขาเห็นอุบัติเหตุ )
-2. I was taking a bath when the telephone rang.
( ฉันกำลังอาบน้ำอยู่เมื่อโทรศัพท์มันดัง )
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่พร้อมกันในอดีต เช่น
-1. My mother was cooking while I was watching TV.
( แม่ของฉันกำลังทำอาหารในขณะที่ฉันกำลังดูโทรทัศน์ )
2. He was standing while she was sitting.
( เขากำลังยืนในขณะที่หล่อนกำลังนั่ง )


URL : http://www.labschools.net/web/pai/eng/eng_wichai/7.htm

Past Simple Tense

ประโยค Past Simple Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง :
Subject + Verb 2
( ประธาน + กริยาช่องที่ 2 )

ตัวอย่าง :
1.He walked to school yesterday. ( เขาเดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )
2. They played volleyball last week. ( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )


ประโยค Past Simple Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้ Verb to do
ช่องที่ 2 คือ did มาช่วย และเติม not ข้างหลัง มีโครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง :
Subject + did + not + Verb 1
( ประธาน + did + not + กริยาช่องที่ 1 )

ตัวอย่าง :
1. He did not ( didn’t ) walk to school yesterday. ( เขาไม่ได้เดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )
2. They did not play volleyball last week. ( เขาทั้งหลายไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )

ข้อสังเกต : เมื่อนำ did มาใช้ในประโยคแล้วต้องเปลี่ยนกริยาช่องที่ 2 ให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย

ประโยค Past Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม ทำได้ด้วยการนำ did มาวางไว้หน้าประโยค
และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้

โครงสร้าง :
Did + Subject + Verb 1
( Did + ประธาน + กริยาช่องที่ 1 )

ตัวอย่าง :
1. Did he walk to school yesterday ?( เมื่อวานนี้เขาเดินมาโรงเรียนใช่หรือไม่ )
- Yes, he did. ( ใช่ เขาเดินมา )
- No, he didn’t. ( ไม่เขาไม่ได้เดินมา )
2. Did they play volleyball last week ?( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้วใช่หรือไม่ )
- Yes, they did. ( ใช่ เขาทั้งหลายเล่น )
- No, they didn’t . ( ไม่ เขาทั้งหลายไม่ได้เล่น )


หลักการใช้ Past Simple Tense

ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต ซึ่งมักจะมีคำ กลุ่มคำ หรืออนุประโยคต่อไปนี้อยู่ในประโยค เช่น
1. I lived in Chaing mai 3 years ago. ( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้ว )
2. His father died during the war. ( พ่อของเขาตายระหว่างสงคราม )
3. He learned English when he was young. ( เขาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อเขาเป็นเด็ก )


หลักการเติม ed ที่คำกริยา

1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น
love - loved = รัก
move - move = เคลื่อน
hope - hoped = หวัง
2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น
cry - cried = ร้องไห้
try - tried = พยายาม
marry - married = แต่งงาน
ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ใหเติม ed ได้เลย เช่น
play - played = เล่น
stay - stayed = พัก , อาศัย
enjoy - enjoyed = สนุก
obey - obeyed = เชื่อฟัง
3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
plan - planned = วางแผน
stop - stopped = หยุด
beg - begged = ขอร้อง
4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
concur - concurred = ตกลง, เห็นด้วย
occur - occurred = เกิดขึ้น
refer - referred = อ้างถึง
permit - permitted = อนุญาต
ข้อยกเว้น ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น
cover - covered = ปกคลุม
open - opened = เปิด
5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น
walk - walked = เดิน
start - started = เริ่ม
worked - worked = ทำงาน


URL : http://www.labschools.net/web/pai/eng/eng_wichai/6.htm
ประโยค Present Progressive Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง:
Subject + is, am, are + Verb 1 ing.
( ประธาน + is, am, are + กริยาช่อง 1 เติม ing.)
ตัวอย่าง

1. Somchai is sleeping. ( สมชายกำลังนอนหลับ )
2. I am playing football. ( ฉัน กำลังเล่น ฟุตบอล )
3. They are watching TV. ( พวกเขากำลังดูโทรทัศน์ )


ประโยค Present Progressive Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงปฏิเสธให้นำ not มาเติมหลัง Verb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง:
Subject + is, am, are + not + Verb 1 ing.
( ประธาน + is, am, are + not + กริยาช่อง 1 เติม ing. )

ตัวอย่าง :
1. Somchai is not ( isn’t ) sleeping. ( สมชายไม่ได้กำลังนอนหลับ )
2. I am not playing football. ( ฉันไม่ได้ กำลังเล่น ฟุตบอล )
3. They are not ( aren’t ) watching TV. ( พวกเขาไม่ได้กำลังดูโทรทัศน์ )


ประโยค Present Progressive Tense เชิงคำถามและการตอบ

เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to be มาวางไว้หน้าประโยค
และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง:
Is, Am, Are + Subject + Verb 1 ing. ?
( Is, Am, Are +ประธาน + กริยาช่อง 1 เติม ing. ? )

ตัวอย่าง :
1. Is Somchai sleeping ? ( สมชายกำลังนอนหลับใช่หรือไม่ )
-Yes, he is . ( ใช่ เขากำลังนอนหลับ )
-No, he isn’t. ( ไม่เขาไม่ได้กำลังนอนหลับ )
2. Are they studying English ? (พวกเขากำลังเรียนภาษาอังกฤษใช่หรือไม่ )
-Yes, they are. ( ใช่พวกเขากำลังเรียน )
-No, they aren’t . ( ไม่พวกเขาไม่ได้กำลังเรียน )
3. Am I playing football ? ( ฉัน กำลังเล่น ฟุตบอลใช่หรือไม่ )
-Yes, you are. ( ใช่คุณกำลังเล่นฟุตบอล )
-No, you aren’t . ( ไม่คุณไม่ได้กำลังเล่นฟุตบอล )


หลักการใช้ Present Progressive Tense

ใช้กับการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด เช่น
1. I am studying English . ( ฉันกำลังเรียนภาษาอังกฤษ )
2. Somchai is sleeping. ( สมชายกำลังนอนหลับ )
3. They are watching TV. ( พวกเขากำลังดูโทรทัศน์ )


หลักการเติม ing ท้ายคำกริยา
1. คำกริยาธรรมดา ให้เติม ing ได้เลย เช่น
speak ( พูด ) - speaking
eat (กิน) - eating
2. คำกริยาที่มีพยางค์เดียว มีตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัว แล้วเติม ing เช่น
sit ( นั่ง ) - sitting
run ( วิ่ง ) - running
3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e เพียงตัวเดียวให้ตัด e ทิ้งแล้วเติม ing เช่น
come ( มา ) - coming
drive ( ขับรถ ) - driving
4. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม ing เช่น
die ( ตาย ) - dying
lie ( นอน ) - lying



URL : http://www.labschools.net/web/pai/eng/eng_wichai/3.htm