วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Article

Article

Article คือ คำที่ใช้นำหน้านาม หมายความว่า คำนามในภาษาอังกฤษทุกตัว เวลาพูดหรือเขียนต้องมีคำ article นำหน้า
ทั้งนั้น (ยกเว้นนามบางชนิด ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป) article แบ่งออกเป้น 2 ชนิดคือ
1. Indefinite Article คือ article ที่นำหน้านามแล้ว ทำให้นามนั้นมีความหมายทั่วไปได้แก่ A,An
2. Definite Article คือ article ที่นำหน้านามแล้ว ทำให้นามนั้นมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่ The


หลักทั่วไปของการใช้ a ข้อยกเว้น ห้ามใช้ a นำหน้า
A ใช้นำหน้านามใด นามนั้นต้องมีลักษณะครบ 4 ประการ คือ
(1) เป็นนามเอกพจน์
(2) เป็นนามนับได้
(3) เป็นนามที่ขึ้นด้วยพยัญชนะ
(4) เป็นนามที่มีความหมายทั่วไป เช่น
a book, a man, a bus, a house, a pen เป็นต้น

หลักทั่วไปของการใช้ an
An ใช้นำหน้านามใด นามนั้นต้องมีลักษณะครบ 4 ประการ คือ
(1) เป็นนามเอกพจน์
(2) เป็นนามนับได้
(3) เป็นนามที่ขึ้นด้วยสระ 5 ตัว คือ a,e,i,o,u
(4) เป็นนามที่มีความหมายทั่วไป เช่น
an apple.an elephant, an orange, an umbrella เป็นต้น

หลักทั่วไปการใช้ the

The ใช้นำหน้านามได้ทุกชนิดและทุกประเภท นั่นคือ
1. เป็นนามเอกพจน์ก็ใช้ The นำหน้าได้
2. เป็นนามพหูพจน์ก็ใช้ the นำหน้าได้
3. เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยสระก็ใช้ The นำหน้าได้ แต่ให้อ่านว่า ดิ
4. เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะก็ใช้ The นำหน้าได้
5. เป็นนามที่นับได้ก็ใช้ The นำหน้าได้
6. เป็นนามที่นับไม่ได้ก็ใช้ The นำหน้าได้
7. แต่นามทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เมื่อใช้ The นำหน้าแล้ว จะต้องมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจง หากไม่เจาะจงห้ามใช้ the
The orahe from Bangmod is sweet. ส้มที่มาจากบางมดเป็นส้มหวาน
ใช้ The นำหน้า orange ได้ เพราะเจาะจงส้มที่มาจากบางมดเป็นส้มหวาน
The children is this room like to dance. เด็ก ๆ ที่อยู่ในห้องนี้ชอบเต้นรำ
ใช้ The นำหน้า children ได้ เพราะเจาะจงเด็กที่อยู่ในห้องนี้เท่านั้นชอบการเต้นรำ เด็กที่อยู่ห้องอื่นไม่เกี่ยวข้องด้วย
ดังนั้นจึงใช้ the นำหน้า children ได้
The water in the bottle is very cold. น้ำที่อยู่ในขวดนี้เย็นมาก
ใช้ The นำหน้า water ได้ เพราะเจาะจงลงไปว่า น้ำที่อยู่ในขวดนี้เท่านั้นเป็นน้ำเย็นฉ่ำน่าดื่มน่าฉันมิได้หมายถึงน้ำทั่วไปว่า
เป็นน้ำเย็น ดังนั้นจึงใช้ The นำหน้า water ได้
The farmers in Thailand are very poor. ชาวนาในประเทศไทยยากจนมาก
ใช้ The นำหน้า farmers ได้ เพราะมีการชี้ลงไปว่า ชาวนาที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้นเป็นคนยากจน มิได้หมายถึง
ชาวนาที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ เป็นต้น


สำนวนต่อไปนี้ ให้ใช้ a,an นำหน้าตลอดไป
1.สำนวนเกี่ยวกับการใช้นับจำนวน ให้ใช้ a,an นำหน้าเช่น :-
a dozen หนึ่งโหล
half a dozen ครึ่งโหล
a hundred หนึ่งร้อย
a thousand หนึ่งพัน
a million หนึ่งล้าน
a lot of จำนวนมาก
a great deal of จำนวนมาก
a large number of จำนวนมาก


2. สำนวนเกี่ยวกับราคา อัตราส่วน ความเร็ว ใช้ a,an นำหน้า เช่น:-
a shilling a dozen โหลละ 1 ชิลลิ่ง
sixty miles an hour 60 ไมล์ต่อหนึ่งชั่วโมง
ten kilometres an hour 10 กม. ต่อหนึ่งชั่วโมง
four times a day วันละ 4 ชั่วโมง


3. สำนวนเกี่ยวกับประโยคอุทานใช้ a นำหน้า เฉพาะที่เป็นนามเอกพจน์และนับได้เช่น:-
What a hot day it is! วันนี้ร้อนอะไรอย่างนี้
What a pretty girl she is! หล่อนเป็นเด็กหญิงที่สวยอะไรอย่างนี้

4. คำนามที่ตามหลัง quite, hardly, scarcely, rathert, ต้องใช้ a,an นำหน้าตลอดไป เช่น:-
He is quite a fool. เขาเป็นคนโง่ทีเดียว

There is hardly a second to lose. อย่าให้พลาดทีเดียวนะ (ไม่มีเวลาอีกแล้ว)
There is scarcely a pinch left. แทบจะไม่มีเวลาเหลือเลย
He is rather a lazy man. เขาเป็นคนค่อนข้างขี้เกียจ

5. นามเอกพจน์ที่นับได้ นำมาใช้ตามหลัง many ในกรณีที่ให้หมายถึง "มาก" นั้นต้องใช้ a,an นำหน้าเช่น :-
Many a boy has lost his life in that way. เด็กจำนวนมากเสียชีวิตเพราะเหตุนั้น
หมายเหตุ แต่ถ้าเป็นนามพหูพจน์ นำมาใช้ตามหลัง many นามตัวนั้นไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น:-
Many students must be able to speak English. นักศึกษาจำนวนมากจะต้องมีความสามารถพูดภาษาอังกฤษได้

6. นามเอกพจน์ที่นับได้ นำมาใช้ตามหลัก such ต้องใช้ a,an นำหน้าเช่น:-
I have never seen such a tall man in my life. ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นคนสูงอย่างนี้เลยในชีวติ
หมายเหตุ แต่ถ้าเป็นนามที่นับไม่ได้ก็ดี นามพหูพจน์ก็ดี ตามหลัง such ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น:-
She doesn't want to drink such hot water. หล่อนไม่ต้องการดื่มน้ำร้อนอย่างนี้เลย
I would like to make friendship whit such honest people. ฉันอยากจะทำความเป็นมิตรกับคนที่มีความซื่อสัตย์อย่างนี้

7. สำนวนที่เกี่ยวกับความไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องใช้ a,an นำหน้าเช่น:-
have a cold เป็นไข้หวัด
have a pain ได้รับความบาดเจ็บ
have a cough เป็นไอ
have a headache ปวดศรีษะ

have a toothache ปวดฟัน
have an earache ปวดหู,เจ็บหู
หมายเหตุ แต่ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้ Article นำหน้าได้แก่
have influenza ไข้หวัดใหญ่
have rheumatism เป็นโรคปวดในข้อ




URL:http://www.geocities.com/tumenglish/article.html

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Passive Voice

หลักการเปลี่ยน Active เป็น Passive

Active Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้แสดง หรือเป็นผู้ที่กระทำกริยาตัวนั้น หมายความว่า ในประโยคนั้นเรายกเอาประธานซึ่งเป็นผู้ทำกริยา ขึ้นมากล่าวเป็นจุดสำคัญ
Passive Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำหรือเป็นผู้ได้รับผลจากการกระทำอันนั้น หมายความว่า ในประโยคนั้นเรายกเอาสิ่งที่ถูกเขาทำขึ้นมากล่าวเป็นจุดสำคัญหลักการเปลี่ยน
1. เอา Object ใน Active ไปเป็น Subject ใน Passive
2. ใช้กริยา Verb to be ให้ถูกต้องตามพจน์ และ Tense เดิมของ Active
3. กริยาแท้ต้องใช้ตัวเดิมกับ Active แต่ต้องเป็นช่องที่ 3
4. เอา Subject ในประโยค Active ไปเป็นกรรมตามหลังบุรพบท by แล้วนำไปวางไว้หลังกริยาช่องที่ 3 ในประโยค Passive Voice ตัวอย่างเช่น
-Active : He kicked a football yesterday.
-Passive : A football was kicked by him yesterday.
ประโยคแรก แปลว่า "เขาเตะฟุตบอลเมื่อวานนี้"
ประโยคสอง แปลว่า "ฟุตบอลถูกเตะโดยเขาเมื่อวานนี้

โครงสร้างของประโยค Passive ทั้ง 12 Tenses<สำคัญมาก>

1.Present Simple = S. + is , am , are + V.3 + by.....

2.Present Continuous = S. + is , am , are + being + V.3 + by....

3.Present Perfect = S. + has been , have been + V.3 + by....

4.Present Per. Conti. = S. + has been , have been + being + V.3 + by....

5.Past Simple = S. + was , were + v.3 + by....

6.Past Continuous = S. + was being , were being + v.3 + by....

7.Past Perfect = S. + had been + v.3 + by....

8.Past Per. Conti. = S. + had been being + v.3 + by....

9.Future Simple = S. + well be , shall be + v.3 + by....

10.Future Continuous = S. + will be , shall be + being + v.3 + by....

11.Future Perfect = S. + will have , shall have + been + v.3 + by....

12.Future Per. Conti. = S.+ will have been being,shall have been being+v.3+by....

*เมื่อประโยค Active Voiceมี Object 2 ตัว ก่อนอื่นจะต้องรู้ก่อนว่า Object (กรรม) 2 ตัวนั้นคืออะไรบ้าง ได้แก่
1. Direct Object (กรรมตรง คือ สิ่งของ)
2. Indirect Object (กรรมรอง คือ บุคคล)
ถ้าประโยค Active Voice นั้นมี กรรมตรงและกรรมรองมาอยู่ด้วยกันทั้ง 2 ประโยคเดียวเช่นนี้ เวลาเปลี่ยนเป็น Passive นิยมเอา กรรมรองคือบุคคล ไปเป็นประธานในประโยคPassive มากกว่ากรรมตรง อย่างไรก็ตาม จะเอากรรมตรงขึ้นไปเป็นประธานก็ได้แต่ต้องใส่ to ข้างหน้ากรรมรองคือบุคคลนั้นทุกครั้ง ต่อไปนี้จะได้ยกตัวอย่างให้ดูทั้งแบบกรรมรองและกรรมตรงขึ้นไปเป็นหระธานในประโยค Passive สังเกตวิธีการเปลี่ยนให้ดีดังนี้
-Active : The teacher gave me a book yesterday.
-Passive : I was given a book by the teacher yesterday. (กรรมรอง)
-Passive : A book was given to me by the teacher yesterday. (กรรมตรง)
คำแปล คุณครูให้หนังสือเล่มหนึ่ง แก่ฉันเมื่อวานนี้
ฉันถูกให้หนังสือเล่ามหนึ่งโดยคุณครูเมื่อวานนี้
หนังสือเล่มหนึ่งถูกให้แก่ฉันโดยคุณครูเมื่อวานนี้

**เราไม่จำเป็นต้องนำตัวประธานในประโยค Active นั้นไปเป็นกรรมตามหลัง "by" ในประโยคPassive เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานในประโยค Active เป็นคำต่อไปนี้ ยิ่งไม่นิยมนำไปเป็นกรรม ซึ่งทั้งนี้มักจะละผู้กระทำไว้ในฐานที่เข้าใจกัน หมายความว่าไม่ต้องนำเอาคำที่เป็นประธานจำพวกนี้ไปเป็นกรรมตามหลัง by ในประโยค Passive เช่น
-Active : Smeone gave a beggar some money.
มีคนให้เงินแก่คนขอทาน
-Passive: A beggar was given some money. (no "by someon")
ขอทานถูกให้เงิน (ไม่ต้องใส่ by someone เข้ามา)

-Active : No one likes this picture.
ไม่มีใครชอบภาพนี้
-Passive: This picture isn't liked. (no "by no one")
ภาพนี้ไม่มีใครชอบ (หรือไม่ถูกชอบโดยใครทั้งนั้น) เป็นต้น

-Passive: Let the window be opened.
ให้หน้าต่างถูกเปิดด้วย

-Active: Read the book now.
จงอ่านหนังสือเดี๋ยวนี้
-Passive: Let the book be read now.
ให้หนังสือถูกอ่านเดี๋ยวนี้

-Active: Do the exercises.
ทำแบบฝึกหัดเสีย
-Passive: Let the exercise be done.
ให้แบบฝึกหัดถูกทำเสีย

***อย่างไรก็ตาม ประโยคคำสั่งที่เป็น Passive Voice นั้นสำนวนภาษาไทยเราไม่นิยมพูดกันเพราะฉะนั้นที่ได้แปลไว้นั้น อาจฟังดูแล้วพิลึก ยังกับคนพูดภาษาไทยไม่เป็น แต่ภาษาอังกฤษนั้นเขาพูดกันได้ประโยคเช่นนี้ และนิยมพูดกันบ่อยเสียด้วยก่อนจบเรื่องนี้ ขออธิยายข้อสรุปด้วยความหวังดีดังนี้

1. ประโยค Passive Voice ต้องมี Verb to be อยู่หน้ากริยาช่อง 3
2. ประโยค Active Voice ที่ไม่มีกรรม (Object) ห้ามนำมาแต่งเป็น Passive Voiceโดยเด็ดขาด
3. การนำเอา Subject ในประโยค Active มาเรียงตามหลัง by ในประโยค Passive นั้นถ้าผู้พูดไม่แน่ใจว่า ผู้ฟังจะเข้าใจว่า สิ่งนั้น ๆ ถูกใครหรืออะไรทำเช่นนี้ จะใส่ by เข้ามาทุกครั้งที่พูดก็ได้ แต่ถ้ามั่นใจว่า ผู้ฟังเข้าใจดีว่า สิ่งนั้นถูกอะไรหรือใครทำเช่นนี้ จะไม่ใส่เข้ามาทุกครั้งที่พูดก็ได้ หวังว่าคงเข้าใจ

แบบฝึกหัด ก
จงเปลี่ยนประโยค Active Voice ต่อไปนี้ให้เป็น Passive Voice
1. I read a book every day.
2. He will write his letter in the eveniing.
3. Dak has opened the door.
4. They are playing football now.
5. She was cleaning a chair.
6. You had sent a parcel.
7. The horse kicked the naughty boy.
8. I ordered to do this.
9. We speak English every day.
10. Amnat likes coffee and tea.

แบบฝึกหัด ข
1. Sak washes his hands in the bathing place.
2. I am drinking whisky now.
3. Someone likes this picture.
4. She has sent me a letter.
5. People give hom a coconut.
6. We like an american song very much.
7. Someone sent me a letter yesterday.
8. The boys play football in the field near their school.
9. They finish their work at five o'clock.
10. Nobody writes a letter to me.

เฉลยแบบฝึกหัด ก
1. A book is read by me every day.
2. His letter will be writtten by him in the evening.
3. The door has been opened by Sak.
4. Football is being played by them now.
5. A chair was being cleaned by her.
6. A parcel had been seen by you.
7. The naughty boy was kicked by the hourse.
8. This was ordered to be done by me.
9. English is spoken by us every day.
10. Coffee and tea are liked by amnat.

เฉลยแบบฝึกหัด ข
1. His hands are washed by sak in the bathing place.
2. Whisky is being drunk by me now.
3. This picture is liked (by someone).
4. I was sent a letter by her.
5. He is given a coconut.
6. American song is liked very much.
7. I was sent a letter yesterday.
8. Football is played by the boys in the field near their school.
9. Their work is finished at five o'clock..
10. A letter isn't written to me.

URL:http://www.geocities.com/tumenglish/active_voice.html